“ดารา-นักแสดง” เป็นอาชีพที่ไม่แน่นอน เงินทองได้มาเร็ว ไปเร็ว มักไม่ค่อยเห็นค่า กว่าจะรู้ตัวอีกตัว ผ่านไป 10 ปี ก็ช่วงขาลงซะแล้ว ดังนั้น ดารานักแสดงยุคใหม่ที่มีวิสัยทัศน์และมองการณ์ไกลมักมีความสุขกับการทำเงินให้งอกเงย ด้วยการเลือกลงทุน ฝากเงินในธนาคาร หรือซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อเก็งกำไร บางคนรอบคอบขนาดต้องมีที่ปรึกษาด้านการลงทุนกันเลยทีเดียว เพื่อการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด ยิ่งช่วงนี้มีการลงทุนหลากหลายรูปแบบ ทั้งนำเงินไปเล่นหุ้น ลงทุนในทองคำที่มีความเสี่ยงน้อย
ปัจจุบันดารารุ่นใหม่ๆ มีมุมมองต่อโลกมากขึ้น มีความทันสนมัย เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น ซื้อคอนโดมิเนียม เริ่มบริหารเงินตั้งแต่วันนี้ พออายุ 40 ปี ก็จะมีเงินและสินทรัพย์มากมาย ยิ่งเป็นคนรุ่นใหม่ มีช่องทางเก็บเงินเยอะมาก โดยเฉพาะดาราสมัยนี้ตื่นตัวด้านการออมกันมาก ที่ปรึกษาด้านการลงทุนให้ทัศนะลองไปดูสไตล์การเก็บเงินและวิธีทำเงินให้งอกเงยของเหล่านักแสดงระดับซุป’ตาร์เมืองไทย นักแสดงหญิงที่ได้ตำแหน่งนักแสดงที่มีค่าตัวแพงที่สุดติดอันดับ 2 ใน 10 ได้แก่ พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ และคุณนาย นุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี
กว่าจะเป็นซุป’ตาร์ไม่ใช่เรื่องง่าย
หลายคนให้ฉายานักแสดงสาว “พลอย” ว่าเป็นซุป’ตาร์ขาวีน ความที่เธอเป็นคนตรง ทำงานทุ่มเท ผลงานด้านการแสดงก็แซ่บเว่อร์ ฝีไม้ลายมือด้านการแสดงเกินร้อย จนเธอสามารถครองระดับค่าตัวในการเล่นละครต่อตอนถึงประมาณ 7.5 หมื่นบาทต่อตอน ค่าตัวออกงานอีเวนต์เฉลี่ย 1 แสนบาทขาดตัวต่อครั้ง ค่าถ่ายโฆษณาและพรีเซนเตอร์ประมาณ 6.5 ล้านบาทต่อชิ้น ถึงกระนั้นพลอยก็ปฏิเสธว่าเธอไม่ใช่ซุป’ตาร์ แม้จะโลดแล่นในวงการบันเทิงนานถึง 17 ปีแล้วก็ตาม ปัจจุบันเธอมีผลงานเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณามากถึง 8 ชิ้นทีเดียว ซื้อคอนโดมิเนียมที่สุขุมวิท 24 เก็บเอาไว้ ทั้งให้เช่าต่อได้และอยู่เองก็ได้ ตอนนี้กำไร 5 ล้านบาท ครอบครัวพลอยมีอพาร์ตเมนต์ที่สุขุมวิท 22 แต่ตอนนี้รอลงทุนด้วยการรีโนเวตใหม่ทั้งหมด
ซุปตาร์ติดอันดับค่าตัวแพงที่สุดเป็นอันดับ 6 นุ่น วรนุช ค่าตัวในการเล่นละครประมาณ 8 หมื่นบาทต่อตอน ค่าตัวในการปรากฏกายในงานอีเวนต์ประมาณ 9 หมื่นบาทต่อครั้ง และค่าถ่ายโฆษณาและพรีเซนเตอร์สินค้าประมาณ 5.5 ล้านบาทต่อชิ้น นอกจากอาชีพนักแสดงที่หายไปพักหนึ่ง เธอยังมีธุรกิจที่ต้องดูแล ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปได้ดี การเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวครั้งแรกเกิดจากความชอบ จึงเปิดโรงเรียนนาฏศิลป์ แม้เป็นธุรกิจเล็กแต่ก็ทำได้เรื่อยๆ สำหรับธุรกิจคอนโดมิเนียมก็ประสบความสำเร็จ แม้ก่อนหน้านี้จะไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจคอนโดมิเนียมเลยก็ตาม การเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหม่ มีข้อเสียเปรียบผู้ประกอบการรายใหญ่ในเรื่องของแบรนด์ ดังนั้น เธอจึงชูจุดขายในเรื่องการสร้างเสร็จก่อนขาย เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นของจริงว่าโครงการสามารถพัฒนาไปได้ดี และที่ผ่านมาเมื่อลูกค้าเห็นห้องตัวอย่างจะตัดสินใจซื้อทันที
ในอนาคตหากมีโอกาสพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ก็จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็น 2 ปีต่อโครงการ โดยเน้นโครงการเล็กๆ ก่อน ขณะนี้นุ่นได้มองหาที่ดินย่านบางบัวทองและลำลูกกา คลอง 1-2 เอาไว้ ซึ่งจะใช้ที่ดินประมาณ 1-2 ไร่ครึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา และคงเป็นการใช้แบรนด์ใหม่ แต่ขออุบไว้ก่อน